ปฏิรูปการศึกษาไทย ต้อง AI นำให้ทันโลก



เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ร่วมกับ สมาคมสื่อมวลชนไทย-จีน (TCPA) จัดการเสวนาเรื่อง “ปฏิรูปการศึกษาไทย ต้องAIนำให้ทันโลก” ณ ห้องประชุมราชพฤกษ์ มจพ. โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.อรรถกร เก่งพล กรรมการสภามหาวิทยาลัย มจพ. ศาสตราจารย์ ดร.ปณิตา วรรณพิรุณ หัวหน้าศูนย์วิจัยการจัดการนวัตกรรมและเทคโนโลยี สำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มจพ. และประธาน IEEE Education Chapter Thailand ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

การเรียนยุคใหม่ต้องสร้างฝันด้านAI
.
ศ.ดร.อรรถกร กล่าวว่า การศึกษาด้าน AI ของไทยต้องพัฒนาทั้ง 3 ส่วนคือ ผู้สอน ผู้เรียน และ ผู้ใช้ ปัญหาวันนี้ไม่ได้อยู่ที่ AI แต่อยู่ที่เราไม่สามารถนำ AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทำให้เกิดปัญหาการตกงานของบัณฑิตจบใหม่ เนื่องจากยุคนี้AIเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นที่ทุกองค์กรนำมาพิจารณารับสมัครพนักงาน ซึ่งแนวทางของ AI เป็นหลักการเดียวกับคณิตศาสตร์ แต่คณิตศาสตร์ที่เราเรียนส่วนใหญ่เป็นคณิตศาสตร์สมัยเก่า ไม่ใช่คณิตศาสตร์ AI เลยทำให้ผู้จบสายวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่กลายเป็นเพียงผู้ใช้ AI ไม่สามารถก้าวไปเป็นผู้พัฒนา AI ได้ เพราะฉะนั้นการเรียนยุคใหม่ ต้องสร้างความฝันด้าน AI ตั้งแต่ชั้นประถมหรือมัธยม เพื่อมาเติมเต็มในระดับมหาวิทยาลัย และนักเรียนยุคใหม่ต้องเก่งกว่าครู เพราะมีความรู้อยู่รอบตัว ส่วนครูทำหน้าที่เหมือนโค้ช คือนอกการสอนภาคทฤษฎีแล้ว ต้องมีคำแนะนำด้านการนำไปปฏิบัติด้วย
.
อย่างไรก็ตาม AI เป็นเครื่องมือช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาได้ในระดับหนึ่ง ถ้าเราพัฒนาครูด้านAIไปสอนเด็กในพื้นที่ห่างไกล อยู่ไกลแค่ไหน ถ้ามีโทรศัพท์มือถือต่ออินเตอร์เน็ตได้ ก็เรียนรู้ได้ สามารถสร้างโปรเจ็กต์ขึ้นมาได้ บางคนไม่จำเป็นต้องเรียนสายวิทยาศาสตร์ แต่เรียนสายสังคม สายการตลาดถ้าใช้คอมพิวเตอร์เป็นก็พัฒนาได้ สร้างการเรียนการสอนในพื้นที่นั้นๆให้ก้าวหน้าด้วยการนำAIมาเป็นเครื่องมือ เช่นการใช้แอพพิเคชั่นประยุกต์ให้เกิดการนำผลผลิตในพื้นที่ต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนำไอเดียมาสร้างให้เป็นจริงได้อย่างไร จากโรงเรียน ขยายไปในชุมชน ตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศ ได้แบบไร้ขีดจำกัด ซึ่งครูไทยมีความสามารถทำได้แน่นอน
.
มนุษย์ 4 กลุ่มในปี 2025
ศ.ดร.ปณิตา กล่าวว่า ปี 2025 คือยุคของปัญญาประดิษฐ์ คนใช้ชีวิตร่วมกับAI วันนี้อยากรู้อะไรภายใต้เวลาไม่กี่วินาทีAIก็บอกได้ เราจึงต้องรู้และเข้าใจ AI ในมิติการมองมนุษย์ในปี 2025 จะแบ่งมนุษย์ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. Smart Cyborg คนเก่งใช้ AI เป็น มีความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ทำอยู่แล้ว เอาAIมาช่วยขยายศักยภาพเหมือนติดสปริงบอร์ด 2.Smart User คนระดับกลางๆ ไม่เชี่ยวชาญแต่พอใช้ AI เป็น ทำให้ขยายศักยภาพได้ 3. Smart Human คนเก่งไม่ใช้ AI อาจจะต่อต้าน AI หรือใช้ไม่เป็น คนกลุ่มนี้จะเหนื่อยเพราะใช้พลังของตนเองคนเดียวในการทำงาน ขณะที่เพื่อนๆมีตัวช่วยเสริมพลัง 4.Human คนปกติ ไม่เชี่ยวชาญอะไรมาก ใช้ AI ไม่เป็น กลุ่มนี้จะเหนื่อยสุดๆ
เมื่อก่อนเราอาจจะแบ่งคนตาม Generation แต่วันนี้คนทุกรุ่นจะถูกหลอมรวมกันด้วย AI ประชากรกลุ่มนี้จะไม่แยกเชื้อชาติ ทุกคนเป็นพลเมืองของโลกดิจิทัล ประเทศไทยเคยตั้งเป้าหมายการพัฒนาจากยุค IT 2010 สู่ยุค ICT 2020 จากสังคมอุดมความรู้เป็น Smart Thailand มาถึงปัจจุบันยุทธศาสตร์ชาติใช้ AI for All ขับเคลื่อนประเทศด้วยปัญญาประดิษฐ์
.
World Economic Forum ประกาศว่าทักษะแรงงานที่ต้องการในปี 2025 คือทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์และการจัดการาข้อมูลขนาดใหญ่
.
คนทุกคนมีความเก่งในตัวเอง มีความแตกต่างระหว่างบุคคล แต่ละคนสามารถใช้ AI ขยายศักยภาพได้ตามที่ต้องการ แต่ก็ต้องการความเสมอภาคด้านโครงสร้างพื้นฐาน สร้างให้มีก่อน เมื่อมีแล้วต้องส่งเสริมการเข้าถึง ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ ใช้แก้ปัญหาได้ สร้างนวัตกรรมได้
.
AIช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา
ดร.เทพชัย กล่าวว่า เมื่อก่อนAIเหมือนศาสตร์ในอนาคต เน็คเทคเอาAIมาประยุกต์การศึกษา การาเข้าใจนักเรียน เช่นการเรียนออนไลน์ มีโครงการที่เกี่ยวข้องกับ AI มา20ปีที่แล้ว AI ที่เราทำเป็น AI ที่เข้าใจสื่อ เข้าใจภาพและเสียง ซึ่งปัจจุบันก็มีการนำมาใช้มากมาย ณ ปัจจุบันที่ผ่านมาเราใช้กันมากขึ้นเรื่อยๆ เน็คเทค ก็นำมาประยุกต์ในด้านการศึกษาในแง่ของความเข้าใจ นำไปใช้เชิงวิเคราะห์ว่าเรียนมีความรู้อย่างไรบ้าง มาสร้างอุปกรณ์ เนื่องจากปัจจุบันการเรียนการสอนจะเน้นกิจกรรมมากกว่า ให้รู้ว่าเป็นทำอะไรบ้าง เข้าใจอะไรบ้าง เพื่อเป็นโจทย์ให้ผู้สอน การทำ AI เราต้องการให้เข้าใจด้านวิทยาศาสตร์มากขึ้น เพื่อให้มาเรียนรู้ในการเขียนโปรแกรม และจะเอาอุปกรณ์นี้ไปประยุกต์ใช้กระจายตามโรงเรียนต่างๆทั่วประเทศไทย
.
ปัจจุบันนี้ในเรื่องของ AI ที่เรานำมาใช้กันมากอีกอันหนึ่งที่เรียกกันว่า เทคโนโลยี AI Chatbot ให้สวท.ออกแบบให้เป็นบทเรียนเพื่อไปใช้ในห้องเรียน เริ่มมี AI เข้ามาเราก็ปรับใช้เอาเอกสารเข้าไป
.
อีกงานของเน็คเทคคือการพัฒนากำลังคนทางด้าน AI เป็นโครงการซุปเปอร์เอไอเอนจิเนียร์ สร้างเอนจิเนียร์พัฒนาสัก 100-150 ปัจจุบันผลิตได้ 500 คนออกไปสู่ตลาด การเรียนจะรวมตัวกันแก้โจทย์ปัญหา วิจัยบ้าง จากเอกชนบ้างเพื่อสำรองในการพัฒนา เราพบว่า คนให้ความสนใจมาก เมื่อ5ปีที่แล้วไม่กี่คน แต่ในปีที่ 2 จาก 2,000 คนเป็น 5,000 คน และปีที่ 3-4-5 มากันเป็นหมื่นแสดงว่าคนให้ความสนใจ ผู้สนใจมีทั้งแต่อายุ 13-14 และล่าสุด 80 ก็มีอยากมาเรียน AI แต่ไม่รู้ AI
.
AI เปิดโอกาสการเรียนรู้มากขึ้นช่วยลดความเหลื่อมล้ำแต่อาจมีปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI เป็นข้อจำกัดระหว่างสถานศึกษาในเมืองใหญ่กับชนบทที่ห่างไกล แต่อีกด้านหนึ่ง AI ช่วยให้มีโอกาสเข้าถึงการเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามในวัฒนธรรมไทย เด็กจะไม่ค่อยตั้งคำถามกับผู้ใหญ่ นักเรียนไทยไม่ตั้งคำถามกับครู แต่การใช้ AI ต้องตั้งคำถามหรือเขียนPrompt ให้เป็นหรือเก่งจึงจะได้คำตอบที่ดี ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างทักษะแก่นักเรียนไทยที่เหมาะกับการใช้ AI