‘พิพัฒน์’ หาประธานตั้งกรรมการสอบปลัดแรงงานเอี่ยวซื้อตึกSkyy9 ราคา 7 พันล้าน เกินจริง 2 เท่า

    13 มิถุนายน 68 ที่กระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แถลงแนวทางดำเนินการกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี  สั่งลงดาบสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ซื้อตึก SKyy 9 มูลค่า 3,400-3,800 ล้านบาทในราคา 7 พันล้านบาทซึ่งเป็นราคาสูงเกินจริงถึง 2 เท่า



    นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ภายหลังจากที่นายอนุทิน รองนายกฯ ได้ส่งเรื่องกลับมาที่ตน สิ่งที่ตนจะต้องดำเนินการต่อหลังจากนี้ คือ จะตั้งคณะกรรมการอีก 1 ชุด เพื่อตรวจสอบวินัย และความเสียหาย ว่ามีผิดวินัยตรงไหน เริ่มจุดไหน หรือรายละเอียดอย่างไรบ้าง แต่เราจะไม่ปักใจหรือเชื่อการกระทำนั้นถูกหรือผิด โดยการลงทุนต่างๆของสปส. ต้องผ่านขั้นของคณะอนุกรรมการฯ ชุดต่างๆ เช่น คณะอนุกรรมการนอกตลาด คณะอนุกรรมการความเสี่ยง แล้วจึงเข้าคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดประกันสังคม) ที่มีความเกี่ยวพัน ซึ่งการจัดตั้งคณะกรรมการฯนั้น จะต้องให้เสร็จสิ้นภายในเดือนนี้ โดยขณะนี้มีเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
    แต่ขั้นตอนที่ยากคือ ต้องหาผู้ที่จะมารับเป็นประธานกรรมการฯ ที่จะต้องไปหารือต่อหรือเอาผู้ที่เกษียณราชการมาดำรงตำแหน่งได้ไหม อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่ใช่ท่านปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดเดิม เพราะได้ทำหน้าที่ของท่านเรียบร้อยแล้ว จะต้องไปหากระทรวงอื่น ทั้งนี้ ยังไม่มีกรอบระยะการทำงานที่ชัดเจน ต้องรอให้ได้ประธานกรรมการฯ มาก่อน


    นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการหาประธานกรรมการฯ ขณะนี้ได้เริ่มมีการทาบทามไปแล้วบางท่าน แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับเพราะเชื่อว่าไม่มีใครอยากรับเท่าไหร่ ถ้ารับไป ดีก็โอเค ถ้าไม่ดีก็จะถูกรังเกียจ ทางกระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจ ตอนนี้เริ่มขบวนการหาประธานในการสอบสวน โดยในเรื่องนี้คงเกี่ยวกับคำว่าวินัย ที่เกี่ยวพันไปถึงบอร์ดฯ ว่าใครเป็นประธานบอร์ด ทั้งนี้ ตนไม่สามารถชี้นำได้ ต้องเป็นอำนาจของกรรมการฯ ชุดใหม่ที่จะหาข้อเท็จจริง ว่าที่ซื้อตึกราคาแพงจริงหรือไม่ หรือแพงกว่าควรจะเป็นเท่าไหร่ มีระบบขั้นตอนการจัดซื้อผิดขั้นตอนไหม ทำไมมีการประเมินฝ่ายเดียว ทำไมไม่มีการประเมินทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ เราต้องหาผู้รับผิดชอบ เริ่มต้นตั้งแต่ระดับไหน และไปหยุดที่ระดับไหน นี่คือเสียงต่างที่คณะกรรมการชุดใหม่ต้องเข้าไปดู
    นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ต้องขอชี้แจงผ่านสื่อว่า จะทำให้โปร่งใสที่สุด ไม่ต้องกังวล เมื่ออยู่ในยุคของตนก็ต้องรับผิดชอบและสามารถตอบได้ 100% แต่เรื่องดังกล่าวไม่ได้อยู่ในยุคของตน จึงต้องเรียนว่า ไม่สบายใจ เพราะเกิดขึ้นก่อนที่ตนรับหน้าที่ รมว. แรงงาน ดังนั้น ทุกสิ่งต้องทำให้โปร่งใส ว่าตนไม่ได้รังแกใคร
    เพราะฉะนั้นการหาประธานที่จะเข้ามาทำการสอบไม่ใช่เรื่องง่าย การตรวจสอบระดับปลัดกระทรวง ที่เคยเป็นเลขาธิการสปส. ณ ตอนนั้น จะต้องหาผู้มาตรวจสอบในระนาบเดียวกัน หากมีผู้รับมาเป็นประธานก็ถือว่าตนเองโชคดี แต่หากไม่มีผู้รับมาเป็นประธาน ตนเองก็ต้องหารือต่อว่าสามารถเอาระดับปลัดกระทรวงที่เกษียณไปแล้วได้หรือไม่ 
    เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการพักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สปส. ในขณะนั้น ในช่วงการสอบวินัยหรือไม่ นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ต้องขอหารือกันในระดับผู้บังคับบัญชาสูง เบื้องต้นหลังจากตั้งกรรมการสอบวินัย จะต้องหารือว่าจะมีขั้นตอนต่อไปอย่างไร หรือต้องคุยกับนายอนุทิน รองนายกฯ ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร แต่ถ้ามีความเกี่ยวข้อง ก็คงจะต้องกันออกไป เพราะหากอยู่ในหน้าที่ก็อาจจะมีการไปแทรกแซงได้ แต่ไม่ต้องกังวลเพราะจะพยามทำให้เร็วที่สุดและโปร่งใส
    เมื่อถามว่า ได้มีการพูดคุยกับท่านปลัดกระทรวง บ้างไหม นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ในเมื่อมีการตั้งกรรมการฯ แล้ว คงไม่ไปรบกวน และขอให้กรรมการฯ ทำหน้าที่โดยอิสระ หากตนเข้าไปพูดคุย จะถือว่าไม่ทำตัวเป็นกลาง จึงไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้ และยังไม่ทราบว่ากรณีแบบนี้จะพัวพันไปถึงจุดไหน จะไปถึงหน่วยงานภายนอกหรือไม่ ที่เป็นบริษัทเอกชนที่จะต้องไปทำการสอบสวนด้วย
    เมื่อถามว่าส่วนตัวแล้ว มองว่าราคาตึก SKyy 9 เป็นการซื้อที่ราคาแพงเกินจริงไปหรือไม่ นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ตนจะไม่ใช้ความรู้สึกตัวเองมาเป็นสิ่งชี้นำ และไม่สะดวกตอบคำถามในส่วนนี้ เพราะฉะนั้น ต้องหารือกับท่านประธาน และปล่อยให้ดำเนินการอย่างโปร่งใสที่สุด โดยที่ตนจะไม่เข้าไปแทรกแซงใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่สปส. ปลัดกระทรวงแรงงาน คณะอนุกรรมการแต่ละชุด หรือบอร์ดประสังคมในขณะนั้นที่ยังไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งต่างจากคณะทำงานชุดปัจจุบันที่มาจากการเลือกตั้ง จึงไม่ขอชี้นำ
    เมื่อถามย้ำว่าการสอบครั้งนี้ เป็นการสอบถึงประเด็น ‘ทุจริต’ ด้วยหรือไม่ นายพิพัฒน์ กล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการอีกชุดขึ้นมาเพื่อสอบเรื่องวินัย มีคำว่าวินัย ก็หมายความว่าทุจริต แต่อาจจะทุจริตหรือไม่ทุจริตก็ได้ 
    เมื่อถามย้ำว่าจะถึงขั้นเรียนเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานคนก่อนหน้ามาให้ข้อมูลด้วยหรือไม่ นายพิพัฒน์ กล่าวย้ำว่า ตามที่บอกไปเป็นเรื่องของประธานกรรมการฯ ที่จะแต่งตั้งขึ้นมา ตนไม่สามารถชี้นำได้ ถึงเวลาตรงนั้นอาจจะเชิญหรือไม่เชิญก็ได้เพราะเป็นอำนาจของประธานกรรมการฯ และต้องดูว่าจะมีการพาดพิงหรือไม่ หากไม่พาดพิงก็ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะเชิญเข้ามาให้ถ้อยคำ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างยังถือว่าทุกคนยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ยังไม่มีข้อสรุปออกมาว่าใครถูกใครผิด
    แต่หากมีข้อสรุปจากคณะกรรมการชุดที่กำลังจะตั้งขึ้นมาแล้วนั้นเราถึงระบุได้ว่า ใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบตามลำดับชั้น ขอเน้นคำว่าตามลำดับชั้นเพราะเลขาธิการ สปส. ในขณะนั้น คงไม่ได้ทำเองทุกเรื่อง ต้องมีที่เป็นคนชงเรื่อง ก็ทำตามลำดับชั้นขึ้นมา และจากนั้นจะส่งไปที่ไหนต่อหรือตัดสินใจเพียงท่านเดียว หรือหยุดที่บอร์ดประกันสังคมเป็นผู้ตัดสินใจ ก็เป็นเรื่องกฎเกณฑ์ของประกันสังคม
       นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า โดยการตั้งคณะกรรมการมาสอบครั้งนี้ เพื่อจะดูว่ามีใครผิดวินัยหรือไม่ผิดวินัย สมมุติว่าขบวนการทั้งหมดเกี่ยวเนื่องกับคน 100 คน ก็คงไม่ได้ผิดทั้ง 100 คน อาจจะผิดสัก 10 คน 20 คน หรือ 30 คน หรือผิดแค่ 1-2 คน ก็ได้ เพราะการซื้อสินทรัพย์ในมูลค่าชิ้นหนึ่งที่สูงขนาดนี้ เชื่อว่า สปส. มีกระบวนการขั้นตอนชัดเจน ดังนั้น การจะไปหาว่าใครผิดหรือไม่ผิดวินัยคงไม่ยาก เพราะข้อเท็จจริงเขาทำมาให้แล้วในระดับหนึ่ง
    แต่การสอบครั้งนี้อาจจะต้องใช้เวลาในการสอบมากกว่าคณะกรรมการชุดหาข้อเท็จจริงที่ใช้เวลา 90 วัน เพราะลงคำว่า ‘วินัย’ นั่นหมายความว่า ‘ถูก เสมอตัว แต่หาก ผิด คุณถูกลงโทษแน่’ ซึ่งการจะลงโทษใคร ควรทำอย่างรอบคอบมากที่สุดเพราะบางท่านรับราชการมา 5 ปี 10 ปี 20 ปี หรือ 30 ปี เพราะฉะนั้นการที่จะไปชี้ว่าถูกหรือผิด ต้องละเอียดรอบคอบ เพราะต้องลงลึกถึงการให้คุณให้โทษ ส่วนบทลงโทษหรือโทษสูงสุดจะเป็นอย่างไรยังไม่ชัดเจนในรายละเอียดนี้  
    เมื่อถามถึงว่าหลายคนมองเรื่องนี้เป็นเกมการเมือง ส่วนตัวคิดเห็นอย่างไรบ้าง นายพิพัฒน์ กล่าวว่า คิดว่าไม่ใช่เกมการเมือง อย่าเอาเหตุการณ์การเมืองในปัจจุบันนี้ไปโยงย้อนหลังกลับไปในขณะนั้น เพราะมันต่างสถานการณ์ ต่างวาระ ต่างเวลากัน โดยเฉพาะคณะทำงานในขณะนั้นไม่ใช่เหมือนปัจจุบัน ซึ่ง ตนไม่ขอก้าวล่วงว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร แต่ตนมีหน้าที่อย่างเดียวในการรับข้อสั่งการตามลำดับ ดังนั้นก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่เป็นเจ้ากระทรวงอยู่ ณ ขณะนี้
    กรณีนี้เป็นกรณีที่อ่อนไหว และเข้ามาพันถึงการเมืองที่วุ่นๆในปัจจุบันนี้ด้วย เพราะฉะนั้นตัวผมเอง ไม่สามารถที่จะชี้นำหรือตอบอะไรได้เลย ถ้าเป็นเรื่องของตัวผมและตัวกระทรวงเราเพียงฝ่ายเดียวคงกล้าฟันธง แต่เรื่องนี่มีองค์ประกอบเข้ามาเกี่ยวเนื่อง ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐและคำว่าการเมือง