"พงษ์กวิน" หลาน "สุริยะ" เข้ากระทรวง ระทรวงแรงงาน เป็นโอกาสของแรงงานไทย
วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย พระพุทธสุทธิธรรมบพิตร พระพุทธชินราช ศาลพ่อปู่ชัยมงคล ศาลท้าวมหาพรหมเทวฤทธิ์ และศาลพ่อปู่ชินพรหมมา เนื่องในโอกาสรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คนที่ 18 โดยมี นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน ร่วมให้การต้อนรับ ณ กระทรวงแรงงาน
นอกจากนี้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เดินทางมาให้กำลังใจหลานชายหลังจากเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก
โดยนายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจได้ชู 5 นโยบาย เพื่อให้แรงงานไทยมีชีชิตให้เป็นอยู่ที่ดีขึ้นและมีรายได้สูงขึ้น ประกอบด้วย 1. “AI เพื่อยกระดับแรงงานไทย” โดยจะเร่งพัฒนาหลักสูตร AI ให้สอดคล้องกับภาคการผลิตและบริการ พร้อมดึงแรงงานทุกกลุ่มเข้าสู่กระบวนการฝึกทักษะ บูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน และใช้กลไก พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานฯ กระตุ้นภาคเอกชนร่วมพัฒนาทักษะแรงงานด้าน AI ให้ทันต่อความต้องการของตลาด
2. ”การคุ้มครองแรงงานอย่างเท่าเทียม” โดยจะผลักดันกฎหมายแรงงานใหม่ให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ กว่า 21 ล้านคนเพื่อเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ นำไปสู่การบังคับใช้โดยเร็ว เนื่องด้วยปัจจุบันมีการทำงานในรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งกระทรวงแรงงานจะต้องดูแลแรงงานทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน พร้อมศึกษารูปแบบการทำงานใหม่ เพื่อพัฒนากฎหมายและระบบประกันสังคมให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น
3 . “Learn to Earn” เนื่องด้วยเยาวชนช่วงอายุ 15-18 ปี ในปัจจุบันมีความสามารถรอบด้าน จึงต้องสนับสนุนและส่งเสริม เพื่อนำไปสู่การหารายได้เสริมระหว่างเรียน และยังเป็นการเสริมประสบการณ์ สร้างทักษะ และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ซึ่งขณะนี้ยังมีกฎหมายคุ้มครองที่ชัดเจน ซึ่งกฎหมายอนุญาตให้ทำงานได้ แต่ต้องเป็นการทำงานที่ไม่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและสภาพจิตใจ และต้องไม่มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อเยาวชน จึงมอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และผู้ประกอบการ ในการสนับสนุนและส่งเสริมเยาวชน เพื่อผลักดันให้นโยบายดังกล่าวเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
4. “สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ด้วยการยกระดับรายได้ให้แก่แรงงานไทย” โดยจากข้อมูลของสำนักงานประกันสังคม ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมจำนวนประมาณ 24 ล้านคน ที่แม้ว่าในช่วงปีนี้ได้มีการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำแล้วถึง 2 รอบ ทำให้แรงงานในบางพื้นที่และบางสาขาอาชีพ ได้รับค่าจ้างในอัตราวันละ 400 บาท แต่ก็ยังมีผู้ประกันตนอีก 2.3 ล้านคน ซึ่งเป็นแรงงานไทย 1.8 ล้านคนที่ยังได้รับค่าจ้างไม่ถึงวันละ 400 บาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแรงงานกว่า 90% มีรายได้เกิน 400 บาท ต่อวันแล้ว สำหรับกลุ่มที่เหลือได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานเร่งยกระดับรายได้ของแรงงานกลุ่มนี้โดยด่วน ซึ่งในระยะแรกจะฝึกอบรมพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่แรงงานกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นการ Up – Skill Re – Skill เพื่อให้แรงงานกลุ่มนี้มีทักษะฝีมือได้มาตรฐานที่จะเข้าสู่ระบบค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน ทำให้ได้รับค่าจ้างสูงขึ้นเกินกว่าวันละ 400 บาท ท้้งนี้กระทรวงฯพร้อมพัฒนากลไกค่าจ้างขั้นต่ำและโครงสร้างค่าจ้างให้มีประสิทธิภาพในระยะยาว
5. ”การจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในประเทศไทยอย่างเร่งด่วน“ เนื่องจากปัจจุบันแรงงานต่างด้าวมีส่วนในการขับเคลื่อนภาคการผลิตและภาคบริการของประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตามไม่สามารถ ปล่อยให้มีการใช้แรงงานต่างด้าวโดยขาดการควบคุม ซึ่งทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา ดังนั้นจึงจะเร่งจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในประเทศไทยอย่างเร่งด่วน โดยเร่งประชาสัมพันธ์ให้แรงงานต่างด้าวที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน เข้าสู่กระบวนการขออนุญาต หรือผ่อนผันให้ทำงานในประเทศไทย ตามที่กฎหมายกำหนดให้ครบถ้วนตามจำนวน และบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบทำงาน และการทำงานที่เป็นการแย่งอาชีพคนไทย
นอกจากนี้ ผมขอฝากท่านผู้บริหารกระทรวงแรงงานทุกท่าน ในการพิจารณา หาแนวทางบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวให้เกิดความเหมาะสมในระยะยาวด้วย เพราะหากเปรียบเทียบกับการที่แรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ จะเห็นได้ว่า ประเทศที่มีนโยบายเปิดรับแรงงานต่างด้าว จะมีมาตรการที่เข้มงวดและชัดเจนเป็นระบบ เพื่อบริหารจัดการการนำแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศ ให้สอดคล้องกับความต้องการทางด้านเศรษฐกิจ และไม่ก่อให้เกิดปัญหาด้านอื่น ๆ ตามมา ซึ่งประเทศไทยก็ควรมีมาตรการเช่นนั้น แต่ผมก็เข้าใจดีว่า ลักษณะการใช้แรงงาน ย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะการประกอบการของแต่ละประเทศด้วย การที่ปัจจุบัน ประเทศไทยยังพึ่งพาภาคการเกษตร ภาคพาณิชยกรรมและภาคบริการเป็นหลัก ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม ภาคพาณิชยกรรมและภาคบริการจำนวนมาก ก็ยังเป็นกิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ทำให้ยังมีการใช้แรงงานที่ค่อนข้างเข้มข้น (Labour Intensive) และเป็นปัญหาอุปสรรคอย่างหนึ่ง ในการปรับกระบวนการผลิตและให้บริการ โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ทดแทนแรงงาน เนื่องจากกิจการเหล่านี้อาจมีทุนไม่มากพอ ประกอบกับโครงสร้างกำลังแรงงานไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และเด็กเยาวชนได้รับการศึกษาสูงขึ้นและทั่วถึง ทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานโดยเฉพาะแรงงานไร้ฝีมือ แรงงานต่างด้าวจึงเข้ามาทดแทนในส่วนนี้ แต่เราจะอยู่ ณ จุดนี้ตลอดไปไม่ได้ เราต้องการยกระดับประเทศไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง การประกอบการของประเทศจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน ให้เป็นการประกอบการที่ให้ผลตอบแทนสูงด้วย
ผมจึงเห็นว่า ในส่วนของการใช้แรงงานต่างด้าวในอนาคต อาจต้องมีการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การอนุญาต ให้สอดคล้องกับการยกระดับปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตหรือบริการด้วย ซึ่งควรเริ่มศึกษาหาแนวทางที่เหมาะสมตั้งแต่ตอนนี้นะครับ
สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณท่านผู้บริหารกระทรวงแรงงานทุกท่าน ที่ให้การต้อนรับผมอย่างอบอุ่น ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผมจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของ “ครอบครัวแรงงาน” ที่เราจะช่วยกันสร้างสรรค์วงการแรงงานของประเทศไทย ให้มีความเจริญก้าวหน้า ทำให้แรงงานมีผลิตภาพสูง มีคุณภาพชีวิตที่ดี และให้
“กระทรวงแรงงาน เป็นโอกาสของแรงงานไทย” ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน
และหากมีสิ่งใดที่จะให้ผมช่วยเหลือ หรือต้องการเสนอแนะ ผมยินดีและน้อมรับเสมอ ขอขอบคุณทุกท่านมากครับ